“พี่จะไป Casa Blanca” หญิงวัยสี่สิบปลายๆ บอกฉันอย่างเป็นกันเอง เธอเป็นนักเดินทางหญิงเดี่ยวชาวไทย (solo traveler) ที่ฉันเจอตอนจะขึ้นเครื่องบินไปโอมาน ดูเหมือนว่าโอมานจะเป็นแค่ที่แวะเปลี่ยนเครื่องของเธอ
“โหววว” ฉันอุทานเบาๆ ด้วยความทึ่ง พลางมองเห็นไอดอลที่นั่งอยู่ตรงหน้า
Casa Blanca (คาซาบลังก้า)…เป็นเมืองในฝันที่ฉันมองว่า ‘โคตรเท่’ ตั้งแต่เรียน film และได้ดูหนังเรื่อง Casablanca ตอนมหาลัย ฉันก็มีคาซาบลังก้าอยู่ในใจมาจนพบรักกับหนังอีกเรื่อง คือ John Vick (ภาค 3 Parabellum) ที่มี Casa Blanca เป็นหนึ่งฉากสำคัญที่พระเอกใช้หลบหนีเพื่อหาหนทางรอดจากสภาสูง
“โคตรเท่” … ฉันคิดในใจ… พลางชวนพี่สาวคนนั้นคุยต่อ เพราะไฟล์ทของเราดีเลย์
การเจอพี่สาวคนนั้น ในวันนั้น โดยบังเอิญ เลยทำให้ Casa Blanca กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในฝันที่ฉันอยากเก็บเงินไปเยือนให้ได้สักวันหนึ่ง

…….
Casa Blanca เป็นเมืองสำคัญของ Morocco อยู่ติดทะเล ฝั่งแอฟริกาตอนเหนือ แต่เนื่องจาก Morocco อยู่ใกล้ยุโรปแค่เพียงช่องแคบเล็กๆ มากั้นระหว่างสเปน ทำให้บรรยากาศที่นี่ราวกับเดินอยู่ในยุโรปที่อวลกลิ่นอายอาราเบีย ผู้คนส่วนใหญ่พูดภาษาอาหรับ และฝรั่งเศส (พูดอังกฤษได้บ้างในบางราย)

ฉันนั่งรถไฟเข้าเมืองมาจากสนามบิน ถึง Casa Blanca สะพายเป้แบคแพคใบโปรด เดินตัวลอยออกจากสถานี Casa Port ก่อนจะหยุดดู Google Map ในมือถือ เพราะเดินต่อไปไม่ถูก
ฉันตั้งใจจะสาวเท้าเดินต่อไปยังโรงแรมที่จองไว้ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีประมาณ 800 ม. สักพักฉันก็ได้ยินเสียงลากกระเป๋าพลางแหงนหน้าขึ้นดู หญิงผิวสีค่อนไปทางชาวแอฟริกันคนหนึ่ง ใส่แว่นรวบผมเปีย สวมเสื้อยีนส์ ลากกระเป๋าใบโตราวกับเดินทางมากกว่า 10 วัน เธอเดินเข้ามาหาฉันอย่างลังเล
“คุณรู้จักโรงแรมใกล้ๆ บ้างไหมคะ”
“ตรงข้ามถนนมีโรงแรมไอบิสนะคะ” ฉันชี้ชวนให้เธอดู
“แล้วคุณจะไปไหนเหรอ” เธอถาม
“เดินไปโรงแรมที่ฉันจองไว้ค่ะ ไม่ไกลจากที่นี่ คุณสนใจไหม?”
“สนสิ” เธอก้มลงดูมือถือที่ฉันโชว์แผนที่ให้ “ฉันขอไปที่เดียวกับคุณละกัน” เธอหาพวกอย่างว่าง่าย
แปลกดีเหมือนกันที่เราไว้ใจซึ่งกันและกันตั้งแต่นาทีแรกที่ได้พบ เธอบอกว่าบ้านเกิดอยู่ที่ลิเบีย แต่ปัจจุบันทำงานอยู่สหรัฐอเมริกา เธอมาเที่ยวพักผ่อนที่นี่เพียงสองวัน แล้วจะเดินทางต่อไปยังดูไบ

เราสองคนตกลงกันว่าจะเสี่ยงขึ้นแท็กซี่แทนการเดิน เพราะกระเป๋าของเพื่อนใหม่ฉันใหญ่เกินกว่าจะเดินชิลได้ แต่พอเราตกลงราคากับคนขับแท็กซี่คนแรกแล้ว คนที่สองที่ยืนอยู่ใกล้กันก็ทำเนียนมาพูดเรื่องราคาด้วย เขาพยายามจะแยกเราจากกัน เพื่อให้ตัวเองได้ลูกค้า
เขาดูเกรี้ยวกราดและตะโกนด่าเสียงดังตอนที่พวกเรายืนกรานว่าจะไปด้วยกัน (มาด้วยกันแล้วจะให้แยกคันได้ยังไงละเนี่ย -_-)
คนขับแท็กซี่ของเราก็ตะโกนด่ากลับไปเช่นกันว่า ตาคนนั้นเป็นบ้าไปแล้ว
เรายื้อยุดฉุดกระเป๋ากับชายคนดังกล่าวอยู่ประมาณสองนาที แต่ก็เป็นสองนาทีที่ยาวนานสำหรับฉัน เป็นเหตุการณ์แย่ๆ ชวนหัวเสียที่ Casa Blanca ต้อนรับฉันตั้งแต่วันแรก
…….
หลังจากถึงโรงแรม ฉันและเพื่อนใหม่ (ที่ตอนนั้นฉันยังจำชื่อเธอไม่ได้) ชวนกันออกไปเดินเล่น หาอาหารสตรีทฟู้ดทานด้วยกัน เราตกลงกันว่าเช้าวันต่อไปจะเที่ยว Casa Blanca ให้ทั่วเมือง เธออัธยาศัยดีมาก และเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจคนอื่น
ส่วนตัวฉันมองว่า Casa Blanca เป็นเมืองที่ไม่ได้อยู่เที่ยวได้นานๆ หลายคนใช้เวลาที่นี่เพียงวันสองวันเพื่อผ่านไปเที่ยวที่เมืองอื่น



เราสองคนออกไปลองอาหารพื้นเมืองทุกที่ที่อยากลอง ฉันเองก็ได้ลองทานคู้ส คู้ส เป็นครั้งแรก (รสชาติเหมือนแป้งข้าวโพด) อาหารที่นี่แม้จะยังไม่ถูกปากเราเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป
หลังจากขวัญเสียมาจากเหตุการณ์ที่สถานีรถไฟ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแท็กซี่ทุกคนที่นั่นจะเป็นอย่างนั้นหรอกนะ เราสองคนเจอแท็กซี่ที่แสนดีมากๆ ในวันที่สอง เป็นชายหนุ่มผมหยักโศก รูปร่างผ่ายผอม แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาพาเราไปส่งห้างที่อยู่ไกลออกไปในราคาอันแสนถูก แถมพูดจาไพเราะและสุภาพสุดๆ จนเพื่อนฉันอดชมเขาไม่ได้ เราให้ทิปเขาไปเป็นการตอบแทน
แท็กซี่คนนั้นทำให้ฉันรู้สึกเห็นใจ และก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
คนบางคนดิ้นรนทำมาหากิน อารมณ์ที่เขาแสดงออกมา อาจเต็มไปด้วยความโกรธ เขาอาจจะไม่ได้ก่นด่าเราเพียงอย่างเดียว แต่เสียงที่เปล่งออกมาเหมือนกำลังก่นด่าโชคชะตาของตัวเองที่ต้องปากกัดตีนถีบอย่างร้อนรน หาเช้ากินค่ำ และต้องแบกรับภาระหนี้สิน
บางคนที่ไม่ได้แสดงออกด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เราก็อดสังเกตเห็นความลำบากที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มเหล่านั้นไม่ได้
อีกอย่าง…เหตุการณ์ที่สถานีรถไฟในวันแรก ทำให้ฉันกับเพื่อนใหม่ตัวติดหนึบเป็นปาท่องโก๋ จนฉันแอบขอบคุณเหตุการณ์แย่ๆ ในวันนั้นที่ทำให้เราสนิทกันไวขนาดนี้

….
“เคท..ฉันรู้ว่าเธอน่ะชอบเที่ยวคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียวได้” เพื่อนใหม่ฉันกล่าวอย่างอ่อนโยนบนรถแท็กซี่ในวันที่สองที่เราออกไปข้างนอกด้วยกัน “แต่เธอคงไม่เบื่อใช่ไหมที่ต้องไปทนเดินห้างกับฉัน ถ้าเธออยากไปเที่ยวไหนต่อก็บอกฉันได้เลยนะ”
เราออกไปเดินห้างด้วยกัน และตระเวนหาแหล่งช้อปชุดพื้นเมือง ตกเย็น เพื่อนฉันชวนไปทานน้ำชาในร้านน่ารักๆ ใกล้โรงแรม
เราต่างรู้ดีว่าวันนั้นเป็นมื้อสุดท้ายของเรา
เพราะเช้าวันต่อมาฉันต้องจากไปเมืองมาราเกซ ท่ามกลางตรอกที่มืดมิดและหนาว การมีคนอีกคนเดินข้างๆ เป็นเพื่อน รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ชามื้อสุดท้าย ที่ได้ทานด้วยกันก่อนอำลา
เพื่อนใหม่สวมกอดฉันก่อนเข้าห้องพักตามสไตล์คนอเมริกัน
“ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกอย่าง และวันนี้ด้วย เธอน่ารักจริงๆ”
“เธอก็เหมือนกัน ขอให้โชคดีกับทริปดูไบ” ฉันยิ้มตอบ เธอหยิบมือถือให้ฉันแลกเบอร์โทรซึ่งกันและกัน
“ฉันชื่อ Comfort สะกดแบบนี้นะ…”
คอมฟอร์ท…
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อเธอแบบชัดๆ …
ฉันไม่ได้บอก Comfort ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดฉันพอดี
แต่พอย้อนดูเรื่องราวของ Casablanca ฉันก็พบว่า
ของขวัญวันเกิดที่ฟ้าประทานมาให้ปลอบใจจากเรื่องแย่ๆ คือการได้พบเพื่อนใหม่
เพื่อนที่มีชื่อแปลว่า ปลอบประโลมจิตใจ (Comfort) นั่นเอง.
อ่านเรื่องราวแบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวดินแดนโมร็อคโค ต่อได้ที่:
ผู้หญิงเที่ยวคนเดียวในโมร็อคโค ปลอดภัยมั้ย?
ขัด-ล้วง-ล้าง: เปลือยประสบการณ์อาบน้ำแบบ Public Hammam ใน Fez, Morocco
แสงสุดท้ายที่เกือบไม่ได้เห็น ที่ Ait ben haddou เมืองมรดกโลกพันปี ที่ Morocco
Fez เมืองหมื่นตรอกโบราณ ‘อดีตที่ยังมีชีวิต’ ของ Moroccoเจอเหตุการณ์ไม่น่าประทับใจ, แต่ดันได้ของขวัญเป็นเพื่อนใหม่ที่ Casa Blanca
3 ความเห็นบน “เจอเหตุการณ์ไม่น่าประทับใจ, แต่ดันได้ของขวัญเป็นเพื่อนใหม่ที่ Casablanca”