เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อปี 2017 หรือสองปีก่อน ที่เคทไปทะเลทรายโกบี ในแถบ Inner Mongolia ของจีน หรือที่เรียกว่าทะเลทรายบาเดน จารัน ตอนนั้นเคทยังไม่มีกล้อง Go Pro เป็นของตัวเอง ได้แต่อาศัยเช่าจากร้าน เวลาไปคืนก็ต้องอัพภาพลงคอม และลบภาพทั้งหมดก่อนนำกล้องไปคืน
ด้วยความรีบ เพราะเพิ่งกลับจากทริป และกลัวคืนกล้องไม่ทันวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่า หลังจากลบภาพและวิดีโอในกล้อง Go Pro เช่าทั้งหมด พอกลับมาเช็คภาพที่เซฟไว้ ดันขึ้น Error!!!
ก็พยายามปลอบตัวเอง พยายามมองในแง่ดีว่ายังดีที่เรายังเหลือภาพจากกล้อง Sony อยู่ ไม่ได้เสียไปทั้งหมด
สองปีถัดมา…
เดือนพ.ค. 2019 ขณะที่กำลังขีดๆ เขียนๆ หาภาพมาประกอบบทความหนึ่งอยู่นั้น ตอนนั้นก็คุ้ยหาภาพในฮาร์ดดิสต์คู่ใจ จนกระทั่งไปสะดุดตากับโฟลเดอร์หนึ่งที่ตั้งชื่ออย่างงงๆ ว่า ‘kate’
ในโฟลเดอร์นี้ ก็บังเอิญเจอโฟลเดอร์ชื่อ ‘china July 2017’ ซึ่งก็คิดว่าจะมีไฟล์ซ้ำหลายโฟลเดอร์ทำไม พอเปิดไปก็เจอโฟลเดอร์ประหลาดที่ไม่เคยเปิดเข้าไปดูมาก่อน
ชื่อ ‘Hero 4 Black’
ในหัวก็นึกถึงภาพและวิดีโอที่หายไปทั้งหมดขึ้นมาทันที คลิกเข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น ปรากฏว่า
ใช่จริงๆ !
มันคือชุดภาพและวิดีโอเดียวกันกับที่หายไป
เดาว่า ด้วยความรอบคอบ เลยเซฟเก็บไว้ในโฟลเดอร์นี้ก่อนที่จะเซฟไว้อีกที่ รวมแล้วเซฟไว้สองแห่ง
แต่ด้วยความสมองปลาทอง เลยลืมไปซะดื้อๆ -_-
………………
“คุณมาจีนครั้งแรก แต่มาในที่ๆ ไกลมาก” เด็กเฝ้าโฮสเทลมองฉันอย่างเป็นมิตร แววตาเคล้าความสงสัยว่า เจ้คนนี้มาทำอะไรไกลถึงที่นี่วะเนี่ย ?! แต่ด้วยความสุภาพ เขาเลยได้แค่ถามอ้อมๆ
ฉันเดินทางจากเมืองจางเย่ มายังเมืองที่ห่างไกลเมืองหนึ่งของจีน ชื่อเมืองอัลชาน หยูชี่ เป็นทริปที่หาข้อมูลลำบากมากถึงมากที่สุดในตอนนั้น เพราะแทบไม่มีใครเขียนรีวิวไว้เลยว่าเดินทางไปอย่างไร และจากอัลชาน หยู่ชี่ จะไปทะเลทรายได้อย่างไร
ตั้งแต่รถบัสมาถึงที่นี่ ภารกิจแรกของฉันคือเดินหาที่พักที่จองไว้ ซึ่งเพียง 200 ม.จากป้ายรถบัสก็หาเจอพอดี
เมืองนี้ทำให้ฉันประหลาดใจอะไรหลายอย่าง..
อย่างแรกคือ เหมือนเมืองร้าง เพราะแม้จะมีผู้คน แต่ก็มีน้อยมาก ขัดกับเมืองที่ดูกว้างใหญ่ไปนิด
อย่างที่สอง คือที่พักที่จองไว้ในราคาไม่ได้แพงมากนัก กลับกลายเป็นที่พักชั้นดี โรงแรมสี่ดาว ห้าดาวเลยก็ว่าได้
อย่างที่สาม คือไร้วี่แววของทะเลทราย และร้านอาหาร จนรู้สึกว่ามาผิดที่หรือเปล่า ก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะคนที่นี่ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลย แม้แต่พนักงานโรงแรม
อย่างสุดท้าย คือตัวฉันเอง ที่แปลกว่าอยู่ดีๆ ก็พูดภาษาจีนได้เฉย เพราะต้องเอาตัวรอด เลยงัดเอาภาษาจีนที่เคยเรียนตอนปีหนึ่งมาใช้อย่างกระท่อนกระแท่น ทั้งๆ ที่คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว แถมยังเขียนได้ด้วย! (บางครั้งกลัวคนฟังไม่เข้าใจ เลยเขียนซะเลย)
อ้อ ฉันเดินทางมาที่นี่คนเดียว โดยที่ไม่มี wi fi หรือเบอร์โทรศัพท์ท้องถิ่นอะไรหรอกนะ เลยยิ่งเพิ่มความยากให้ชีวิตเข้าไปอีก แต่ก็ทำให้มีอิสระจากโทรศัพท์ 100%
ภารกิจต่อไปคือ ต้องหาทางไปทะเลทรายให้ได้
แต่มองไปรอบตัวคือสิ้นหวังมาก เพราะอุปสรรคในการสื่อสาร
และไร้วี่แววของบริษัททัวร์ใดๆ
เห็นก็แต่คุณลุงแท็กซี่ ที่นอนหลับอยู่ใต้ร่มไม้ คนสองคน
ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปทักคุณลุงหนึ่งในนั้น หลังจากยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ว่าจะปลุกคนแก่ที่กำลังนอนหลับดีหรือเปล่า คุณลุงสื่อสารกับฉันไม่เข้าใจ แต่ก็ทราบว่าฉันอยากไปทะเลทราย ส่วนฉันก็จับใจความได้ว่า คุณลุงพาไปทะเลทรายไม่ได้ มันไกล ต้องหาคนอื่นพาไปแทน คนที่พอจะสื่อสารกับฉันเข้าใจ
ฉันพยักหน้า..โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองตีความถูกต้อง 100% หรือเปล่า
แล้วคุณลุงก็ขับรถพาฉันไปยังบ้านผู้หญิงคนหนึ่ง
เดินเข้าไปเป็นเหมือนบ้านคนจีนที่เห็นในหนังกำลังภายในสมัยเด็กๆ พี่สาวร่างเล็กคนหนึ่งยืนยิ้มต้อนรับและพูดภาษาอังกฤษกับฉันอย่างคล่องแคล่ว เธอบอกว่าเธอน่าจะพูดอังกฤษได้คนเดียวในเมืองนี้ เพราะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ

เธอยิ้มอย่างใจดี เวลายิ้ม นัยน์ตาของเธอจะยิ้มด้วย เธอชี้ให้ฉันดูรูปที่เธอและสามีไปเดินไต่เขาที่อัณณาปุรณะ เนปาล มาแล้วหลายครั้ง
ฉันใจชื้น เหมือนได้เจอพวกเดียวกัน..
พี่สาวคนนี้ บังเอิญมีน้องชายที่มีบ้านอยู่ในทะเลทราย เลยจัดแจงให้น้องชายพาฉันไปเที่ยว แต่ไม่ได้ไปเขตที่รัฐบาลจีนเก็บเงิน เพราะค่อนข้างแพง ราคาเป็นหมื่น ฉันเดินทางคนเดียวจ่ายไม่ไหว เลยต้องหลบออกนอกเขตนั้น ไปเที่ยวในที่ๆ อาจจะสวยน้อยกว่า แต่ก็ราคาถูกกว่า และไม่ต้องค้างคืน
จากอัลชาน หยูชี่ ไปทะเลทราย ระยะทางเป็นชั่วโมง เลยถือว่าค่อนข้างไกลเลยทีเดียว และเมื่อไปถึง เรายังต้องไปเปลี่ยนรถ มาใช้รถสำหรับขับในทะเลทรายโดยเฉพาะ
“อย่ากินอะไรไปเยอะ เดี๋ยวจะอ้วก” พี่สาวเตือนด้วยความหวังดี พลางหัวเราะร่า
“เธอเหมือนพวกเรา” พี่สาวคนนั้นหันไปบอกน้องชาย
“น่าจะผ่านเข้าไปไม่ยาก..”
ฉันเห็นเกอ (บ้านสไตล์ชาวมองโกล) อยู่สองสามเกอตอนยืนรอไกด์เปลี่ยนรถ ที่นี่เงียบจริงๆ คนก็ไม่ค่อยมี ได้ยินแต่เสียงลมพัดหวิวๆ อยู่ในทะเลทราย
รถของเราซิ่งผ่านทะเลทรายอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฉันงงมากว่าเขาขับยังไงถึงไม่หลง เพราะนานๆ ทีเราถึงจะเห็นป้ายบอกทาง
มีบางขณะที่แอบคิดในใจว่า ถ้าเกิดน้ำมันหมดกลางทะเลทราย คงลำบากน่าดู

ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน..เนินทรายที่นี่สูงจนได้รับขนานนามว่า เนินทรายที่สูงที่สุดในโลก รถของเราบ่อยครั้งทำมุมเอียง 45 องศาจนฉันคิดว่าน่าจะคว่ำ ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจและเชื่อฝีมือคนหลังพวงมาลัยนั้น ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอเขาได้ไม่นาน พลางก็คิดว่าถ้าคว่ำจะตายหรือเปล่า เพราะทรายดูนุ่มมาก มากเสียจนเป็นภาระของล้อรถ
ฉันเริ่มเข้าใจในสิ่งที่พี่สาวคนนั้นเตือนแล้ว ถ้ากินอะไรมาก่อน มีหวังอ้วกแตกแน่ๆ…
มีอยู่จังหวะนึงที่ล้อหลังติดหล่มทราย เร่งอย่างไรก็ไม่ขึ้น จะออกไปเข็นก็ไม่ได้เพราะเราติดอยู่บนจุดสูงของเนินทราย เปิดประตูออกไปก็มีแต่จะหล่นลงไปเท่านั้น ความสูงคงเหมือนตกเขาลูกย่อมๆ นั่นเอง

เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นทะเลทรายกับตา หลังจากที่เห็นจากหนังมาก็หลายเรื่อง เพิ่งรู้ว่าการเดินบนทรายนุ่มๆ ทำให้เมื่อยขามาก (ตื่นขึ้นมาอีกวันถึงกับร้าวไปทั้งขา) ฉันนั่งลงชันเข่าไว้ข้างหนึ่ง เอื้อมมือหยิบทราย ทรายนั้นค่อนข้างร้อน ลมแรงกว่าลมทะเลพัดเอาทรายจากมือปลิวหายไป


การได้ไปถึงที่นั่นเต็มไปด้วยความบังเอิญมาก บังเอิญเจอคุณลุงผู้นอนหลับใต้ต้นไม้ บังเอิญคุณลุงนำพาไปเจอผู้หญิงที่พูดภาษาอังกฤษได้เพียงคนเดียวในเมือง บังเอิญผู้หญิงคนนั้นมีน้องชายผู้มีบ้านอยู่กลางทะเลทราย
บังเอิญภาพหาย..แต่ได้คืน
เหมือนทุกอย่าง เกิดขึ้นจากความบังเอิญไปหมด..
แต่ก็รู้สึกขอบคุณ.. ที่เป็นแบบนั้น.
…
อ่านเรื่องราวการเดินทางไปจีนได้เพิ่มเติมที่:
8 เรื่องควรรู้ ก่อนแบกเป้ไปลุยเดี่ยว เที่ยวจีน
บาเดน จารัน: ทะเลทรายที่มีเนินทรายสูงที่สุดในโลก
Mati: ปีนชมวัดโบราณในถ้ำโพรงหิน กับตำนานเทพนิยายพื้นบ้าน
ฝากเพื่อนๆ ติดตามเรื่องเล่าจากการเดินทาง+ทริปแบบมันส์ๆ ได้ที่ 🥰🐯
Facebook: https://web.facebook.com/katewandermore
IG : https://www.instagram.com/kate_wandermore/
Twitter: https://twitter.com/kate_wandermore
One thought on “หกคะเมนตีลังกา พาซิ่งรถกลางทะเลทรายโกบี”