ไกลออกไป ณ อีกซีกหนึ่งของโลก ดินแดนที่เรียกว่า Marsa Alam ในประเทศอารยธรรมเก่าแก่อียิปต์ มีสัตว์ที่เป็นผู้ให้กำเนิดตำนานนางเงือกอาศัยอยู่
นางเงือกเหล่านี้ คือเจ้าดูกอง (Dugong) ญาติของพะยูน (Manatee) ซึ่งกำลังใกล้สูญพันธุ์
ด้วยครีบหางที่ต่างจากพะยูนที่มีหางกลม เจ้าดูกองมีหางทรงเดียวกับปลาโลมา ขนาดลำตัวใกล้เคียงกับมนุษย์ และมักอาศัยกินหญ้าทะเลอยู่ในเขตน้ำตื้นไม่เกิน 10 เมตร มีนิสัยขี้อาย ไม่เข้าหามนุษย์ และเป็นอีกหนึ่งในสัตว์ทะเลที่เป็นมังสวิรัติอย่างจริงจัง นอกจากในอียิปต์แล้ว ดูกอง หรือวัวทะเล (sea cow) อาจพบเห็นได้ใน Coron ฟิลิปปินส์อีกด้วย
ในกาลก่อน หากมีนักสำรวจเห็นเจ้าดูกองแต่ไกล อาจเข้าใจผิดได้ว่านี่คือเงือก
เลยเชื่อกันว่า เจ้าดูกอง คือที่มาของตำนานปรัมปราเกี่ยวกับนางเงือกนั่นเอง

หลายปีที่ผ่านมา ที่อียิปต์ กิจกรรมท่องเที่ยวเพื่อชมเจ้าดูกอง มีนักดำน้ำแบบฟรีไดฟเวอร์บางคนเล่าว่ากำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ เพราะที่นั่นไม่ได้มีมาตรการในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์!
โดยจะมีเครื่อง Zodiac คล้าย ๆ water booster วิ่งในทะเลเพื่อค้นหาเจ้าดูกอง (เสียงมันดังด้วยนะเครื่องนี้อ่ะ) เรือแต่ละลำต่างแย่งชิงว่าใครจะหาดูกองได้ก่อน เพื่อให้บริการแก่แขกนักท่องเที่ยวของตนเองให้กลับไปอย่างไม่ผิดหวัง ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไปดำน้ำดูเจ้าดูกองนั้น แน่นอนว่า ต่างก็แย่งชิงกันเพื่อให้เข้าถึงตัวสัตว์ทะเลหาดูยากเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
แสวงหามุมถ่ายภาพเด็ด ๆ หรือมุมเซลฟี่กับเจ้าดูกอง ไปอวดโลกโซเชียล
ภาพที่ออกมาจึงเป็นแบบนี้:

ทำให้เคทนึกถึงหลาย ๆ เหตุการณ์ เช่น การไปดำน้ำดูฉลามวาฬที่ฟิลิปปินส์ ที่ทางการมีมาตรการจริงจังเพื่อลงโทษนักท่องเที่ยวที่ฝ่าฝืนกฏ เช่น นักท่องเที่ยวที่ว่ายเข้าไปใกล้ๆ จนดูเหมือนกำลังไล่ หรือเอามือไปแตะฉลามวาฬ ฯลฯ แม้จะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอยู่ และคอยตะโกนบอกว่า “Stay Away!!” แปลกที่เรายังคงพบเห็นนักท่องเที่ยวประเภทนี้อยู่ดี
มันเหมือนเป็นนาทีวัดใจกันเลยว่า ในช่วงเวลาที่เราดั้นด้นไปยังสถานที่นั้น ๆ เพื่อให้เจอสัตว์เหล่านี้ เราเลือกที่จะปฏิบัติต่อมันอย่างไร ?
เราเลือกความสุขของเราเอง ที่ได้ใกล้ชิดกับเขา โดยไม่สนใจว่าจะส่งผลอะไรกับเขาหรือไม่ เท่ากับเรากลายเป็น The Hunter หรือถ้าเราเลือกที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ รักษาระยะห่างกับพวกเขา เพื่อไม่ให้เขาตกใจหรือรู้สึกว่ากำลัง ‘ถูกคุกคาม’ แสดงว่าเราเป็น The Observer


หากใครเคยไปส่องนกในป่า จะทราบว่า เวลาเข้าไปในเส้นทางส่องนกนั้น เจ้าหน้าที่จะกำชับให้เราไม่ใช้เสียงใด ๆ เลย เพราะเสียงที่มาจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุย เสียงมือถือ จะไปรบกวนสัตว์ป่า หนักเข้าคือสัตว์ทยอยหนีไปจากพื้นที่นั้นไปเลย เพราะเขากลัวมนุษย์ (แม้แต่พวกสัตว์ป่า เช่นพี่หมีนี่เขาก็ไม่อยู่นะ ตอนไปเดินขึ้นดอยอินทนนท์ เจ้าหน้าที่บอกว่าตรงเส้นทางธรรมชาติจุดนั้นเคยมีหมี แต่เขาย้ายหนีไปหมดแล้ว คงเพราะกลัวมนุษย์)
แต่กิจกรรมบนบก อาจควบคุมได้ง่ายกว่าใต้น้ำ เพราะประการแรกคือ สัตว์ที่อยู่ใต้น้ำ โอกาสพบเจอมันจะยากกว่า และต้องอาศัยทักษะบางอย่างเพื่อให้เข้าถึงกิจกรรมนี้ได้ เช่นการดำน้ำประเภทต่าง ๆ ประการที่สอง เรือจากบริษัททัวร์เยอะมาก พออยู่ในทะเลก็ขาดการควบคุมที่ดีพอ
เชื่อหรือไม่ว่า สาเหตุการตายอีกสาเหตุหนึ่งของเจ้าดูกองและฉลามวาฬ รวมทั้งสัตว์ทะเลที่ชอบขึ้นมาที่น้ำตื้นก็คือ “ถูกเรือชน” นี่แหละ น่าสลดมากนะ

จนพอเคทได้ไปดำน้ำดูแมนต้าเรย์ หรือกระเบนราหูยักษ์ที่มัลดีฟส์ เลยเห็นความพยายามของคนท้องถิ่นที่ช่วยพิทักษ์สัตว์ทะเลเหล่านี้ไว้ให้รอดพ้นจาก “การท่องเที่ยวเชิงการล่า (ภาพ)” ให้ได้มากที่สุด
แล้วมันเวิร์คว่ะ
มันเวิร์คยังไง
1) เขาควบคุมตั้งแต่ระดับเรือ
เรือที่จะเข้าเขตของกระเบนราหูได้จะมีแค่เรือลำใหญ่ของ Dive master เท่านั้น ซึ่งเท่าที่สังเกตจะมีแค่ 3 ลำ ส่วนเรือทัวร์ เรือเถื่อน อะไรก็ตามห้ามเข้าเขตนั้นเด็ดขาด (หากเราไปกับเรือของทางที่พัก เราต้องว่ายน้ำไปเปลี่ยนเรือกันกลางทะเลด้วยนะ)
2) เจ้าหน้าที่ที่มาดูแลนักท่องเที่ยว เป็นระดับ Dive master ไม่ใช่แค่ไกด์ หรือคนเรือ
นักท่องเที่ยวที่ดำน้ำต้องทำตามคำสั่งของ Dive Master และฟังบรี๊ฟก่อนลงทะเลอย่างเคร่งครัด โดยทาง Dive Master จะบรี๊ฟว่า ห้ามจับหรือแตะต้องตัวแมนต้า แม้มันจะว่ายเข้ามาเล่นกับเรา (ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของมัน) และบอกวิธีที่ถูกต้องเมื่อเจอแมนต้าให้เราได้ทราบ คือ ต้องลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำนิ่ง ๆ ยกตีนกบขึ้นเป็นแนวราบ และห้ามฟรีไดฟ์ เพราะเกรงว่าจะไปตัดหน้าขวางทางแมนต้า และฟินของฟรีไดฟ์อาจบาดเจ้าแมนต้าได้ รวมทั้งห้ามสคูบ้าด้วย
หากอยากเป็น The Observer มากกว่า The Hunter ต้องทำอย่างไร
-
เริ่มที่ตัวเราเองก่อน
-
เลือกใช้หรือสนับสนุน ทัวร์ หรือผู้ให้บริการที่มีมาตรการในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างจริงจัง
พวกทัวร์ดำน้ำ ก็ตามที่ได้กล่าวมาแล้วที่มัลดีฟส์ ส่วนพวกทัวร์เทรคกิ้ง ปีนเขา ที่ยึดเอาหัวใจของ ‘eco-tourism’ ‘green trail’ มาใช้อย่างจริงจัง ที่เคทรู้จักเช่น India Hikes ซึ่งจะมีการออกกฏควบคุมลูกทีมเทรคให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตั้งแต่อยู่ที่เบสแคมป์ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามใช้วัสดุย่อยสลายเองไม่ได้ (non-biodegradable) ทิชชู่เปียก หรือขวดน้ำพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (หรือสามารถเอาติดตัวไปได้แต่ต้องทิ้งลงกระสอบที่ทาง India Hikes จัดแจงไว้ให้เท่านั้น) ห้ามทิ้งในหลุมดินที่ใช้สำหรับขับถ่าย หรือการให้ทีมเทรคทุกคนติดกระเป๋าผ้าไว้ที่เอวซึ่งเป็นกระเป๋าที่ทาง India Hikes มีให้เพื่อคอยเก็บขยะรอบภูเขาที่เราเดินผ่าน หรือไว้ใส่ขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เกิดจากตัวเราเอง เช่นพวกเปลือกช็อคโกแลต ซอง energy bar เปลือกลูกอม หรือซองยา เป็นต้น

ทำไมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จึงสำคัญ? เพราะมันเป็นระบบที่ช่วยแบ่งแยก ‘การท่องเที่ยว’ ออกจาก ‘การล่า’ (hunting)
เพราะหากเมื่อไหร่ สถานที่ ๆ เราไป…กิจกรรมที่เราทำ..ทำให้เรารู้สึกว่านี่มันเหมือน ‘การล่า’ มากกว่าแล้วเว้ยยย (แม้จะไม่ได้เอาชีวิตของสัตว์เหล่านั้นโดยตรงก็ตาม) ให้เราก้าวออกมา.. ‘ตั้งคำถาม’ กับทัวร์นั้น ๆ หรือกับตัวเราเองว่าเรากำลังล่าอยู่ทางอ้อมหรือเปล่า
และเริ่มต้น ‘ลงมือทำ’ อะไรบางอย่าง
เช่น การตักเตือน ห้ามปราม นักท่องเที่ยวที่กำลังไล่ล่าหาภาพเด็ดโดยที่ตั้งใจจะรบกวนสัตว์เหล่านั้น และคอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ เป็นต้น
Cover photo: Seadrops photography