ห้าทุ่ม.
เสียงมอเตอร์ไซค์ของวายูดับลงหน้าโฮสเทล เขามารับฉันตรงเวลาตามนัด คืนนี้ฉันมีภารกิจที่ต้องไปไต่ภูเขาไฟคาวาห์อีเจี้ยนยามดึก เพื่อให้ทันดู Blue Flame เปลวไฟสีน้ำเงินที่พวยพุ่งออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟตอนตีสาม
ชายชาวอินโดคนนี้ ดูภายนอกทุกคนอาจเรียกเขาได้ว่าเป็นแนว ‘เพื่อชีวิต’ ผมเผ้ายาวประบ่าถูกมัดไว้หลวมๆ ข้างหลัง เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาว ใส่หมวกแก้ป ไว้หนวดเหมือนศิลปินวงเพลงเพื่อชีวิตบ้านเรา
วายู จะเป็นวารัง หรือมิตรนำทางของฉันในวันนี้…
เขามีหน้าที่พาฉันขี่มอเตอร์ไซค์จากเมืองบอนโดโวโซ ไปยังคาวาห์อีเจี้ยนกลางดึก
เป็นการแว้นมอเตอร์ไซค์ที่โหดพอตัว
ทั้งระยะทาง ที่ห่างจากจุดหมายปลายทางกว่า 1 ชั่วโมง
ทั้งหนทางถนนที่สูงชันในบางช่วง ร้อยโค้ง และขรุขระ
ทั้งการอดตาหลับขับตานอนของฉัน ยิ่งทำให้ร่างกายเพลียได้ใจ
หากย้อนมองกลับไป ฉันก็อยากสะกิดบอกตัวเองว่า “เสี่ยงไปลองดูที่พักที่คาวาห์อีเจี้ยนเหอะ จะมาพักต่างเมืองให้เดินทางลำบากลำบนทำไม เก็บแรงไว้ไต่เขาดีกว่า”
ไม่ก็ยอมจ่ายเงินแพงขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้วายูเอารถยนต์ไปแทนมอเตอร์ไซค์ร้ายๆ คันนี้
ฉันยอมนอนพักในโฮสเทลราคาคืนละร้อยกว่าบาทในเมืองบอนโดโวโซ เพราะเห็นแก่เหตุผลที่วายูบอกว่า หากไม่ได้จองที่พักมาก่อน ป่านนี้ที่ปากทางเข้าอุทยานคาวาห์อีเจี้ยน ที่พักคงเต็มหมดแล้ว
ซึ่งจริงตามนั้น.
วายูแวะเอาหน้ากากกันก๊าซพิษให้ฉันติดเป้ไป เราสนทนากันบ้างในบางช่วงเพื่อทลายความเงียบงันท่ามกลางเงาของแมกไม้ตะคุ่มๆ ข้างถนน สูงใหญ่ห่อหุ้มอยู่รายล้อมรอบตัว อากาศหนาวเยือกเย็นจากแรงลมที่ปะทะใบหน้า ฉันกุมเสื้อกันหนาวรูดซิปขึ้นจนถึงคอ รู้สึกชาๆ หน้าจากความเย็นนั้น ไอชื้นของป่าลอยมาแตะจมูก
ผืนป่าข้างทางดำมืด ดูวิเวกวังเวง
มีแต่เพียงแสงไฟเล็กๆ จากมอเตอร์ไซค์ของเราคอยนำทาง
ไม่มีเสาไฟฟ้าข้างทางเลยสักต้นเดียว!
เราผ่านทางที่ขรุขระเต็มไปด้วยก้อนหินลูกเล็กๆ บางครั้งรู้สึกเหมือนมอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมกำลังจะเสียหลักเพราะความลื่น
จนได้!
ล้อมอเตอร์ไซค์เริ่มมีปัญหา วายูพยายามประคองมอเตอร์ไซค์ไว้จนถึงร้านซ่อมข้างทาง
แปลก…ที่มีร้านซ่อมอยู่แถวๆ นี้ด้วย
วายูเคาะประตูหลายครั้ง แต่ดูเหมือนปราศจากเสียงเจ้าของร้านที่กำลังหลับสนิทในยามราตรี ฉันนั่งรอด้วยความกังวล เกรงว่าแผนการเดินทางล้มครืนไม่เป็นท่า เราเสียเวลาไม่ได้เลย เพราะนั่นอาจหมายถึงการพลาดชม Blue Flame ของทริปนี้!
ชายเจ้าของร้านนุ่งโสร่งเดินออกมาเปิดประตูไม้ เขาดูงัวเงียกึ่งหลับกึ่งตื่น วายูพูดกับเขาอย่างใจเย็นและบอกให้ฉันนั่งรอต่อไป ทั้งคู่พยายามเปลี่ยนยางในรถอยู่นานสองนาน เราเสียเวลาอยู่ราวสามสิบถึงสี่สิบนาที.
ปากทางเข้าอุทยานเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวยืนคอยเข้าห้องน้ำแถวยาวเหยียด ส่วนใหญ่จะมาเป็นหมู่คณะ ท่ามกลางดวงดาวที่เรียงรายอยู่เต็มฟ้า คืนนี้ฉันต้องไต่ไปบนเส้นทางของคาวาห์อีเจี้ยนแต่เพียงลำพัง ความมืดที่รออยู่ข้างหน้าทำให้ฉันชะงักเล็กน้อยหลังเดินผ่านปากทาง ฉันเปิดไฟฉายคาดศีรษะ หยิบไม้เท้าเดินป่ามาเดินไต่ขึ้นทางที่ลาดชันข้างหน้าไปอย่างไร้จุดหมาย หนทางดูยาวไกลและมองไม่เห็นปลายทาง
ฉันคาดหวังว่าจะเจอมนุษย์ร่วมทางบ้างเมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ จนได้เห็นชายร่างใหญ่นอนยาวเหยียดอยู่ริมทางรอความช่วยเหลือ ดูเหมือนเขาจะเป็นลมไปแล้ว มีงานเหมืองเข็นรถขึ้นมาพาเขาลงไป
ฉันเจอคนนั่งพักอยู่ริมทางเป็นระยะๆ
อากาศหนาวๆ ทำให้หายใจเข้าปอดได้อย่างยากเย็น
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป น้ำที่พกมาก็หมดขวด!
ฉันหยุดพักบ่อยขึ้น ทางที่นี่มีแต่ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่ราบให้ได้พักผ่อนแรง ภูเขาไฟแห่งนี้ดูเหมือนอยากทอนกำลังของฉันลงไปเรื่อยๆ
“เคท หากคุณเดินไปช้า คุณอาจพลาดชม Blue Flame”
ฉันนึกถึงคำเตือนของวายู เปลวไฟสีน้ำเงินนี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันก้าวต่อไปข้างหน้า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ฉันต้องไปเห็นกับตาให้ได้
ฉันเดินผ่านทางที่ด้านข้างเป็นหุบเหว แต่ด้วยความมืดทำให้มองไม่เห็นว่าเหวนั้นน่ากลัวอย่างไร มีเพียงป้ายเตือนสีแดงๆ ที่คอยบอกข้างทาง
เคยได้ยินว่ามีนักท่องเที่ยวเกาหลีตกลงไปเสียชีวิตที่นี่
แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ หยุดมาชมความงามของที่นี่ได้.
มาถึงคาวาห์อีเจี้ยน ฉันหยิบหน้ากากออกมาใส่เพื่อกันก๊าซกำมะถัน เห็นคนงานในเหมืองกำลังเก็บกำมะถันก้อนสีเหลืองขนขึ้นจากปากปล่องอย่างคล่องแคล่ว
ในที่สุดฉันก็มาทันเห็น Blue Flame
เสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ฝึกถ่ายภาพมาดีพอ ทำให้คุณภาพของภาพที่ได้ไม่ค่อยเป็นที่พอใจนัก
แต่สิ่งที่ตาได้เห็นนี่สิ สำคัญกว่า.
เมื่อมาถึง ทุกคนต้องค่อยๆ ไต่ลงไปในปล่องอย่างทุลักทุเล มีคนงานเหมืองบางรายอาสาพานักท่องเที่ยวลงไปแล้วเรียกค่าจ้างแสนแพง ความยากลำบากในการลงปากปล่องทำให้ทุกคนเข้าคิวเดินลงกันเองอย่างระแวดระวัง ควันที่พวยพุ่งออกมาจากปากปล่องเร่งให้เราเดินเร็วขึ้นเพื่อไปชมความพิศวงเบื้องหน้า
ท้องฟ้ายังมีดาวสุกสกาวเต็มผืน
ตีสาม
ฉันนั่งพักบนหินก้อนหนึ่ง มองดูเปลวไฟสีน้ำเงินอย่างสบายใจ ทุกคนอยู่ที่นั่นเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่คาวาห์อีเจี้ยน และรอชมทะเลสาบสีเขียวมรกตในอรุณรุ่ง ก่อนที่จะเดินกลับไปยังเส้นทางเดิม
สิ่งที่เห็นจนชินตา คือก้นเปื้อนๆ ดินสีดำบนกางเกงของแต่ละคน จากการล้มคมำไม่เป็นท่าระหว่างเดินลงเขา ทางลงทั้งลื่นและชันจนปวดเข่า
“คุณมาคนเดียวเหรอ?” กลุ่มนักเดินทางชาวจาร์การ์ตาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันถามด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาถ่ายรูปให้ฉันหลายรูป เพราะสงสารที่มาคนเดียวแล้วกลัวจะไม่มีรูปตัวเองติดไปสักรูป เพื่อนใหม่กลุ่มนี้น่ารักมาก และพูดภาษาอังกฤษเก่ง หนึ่งในนั้นพยายามซ่อมไม้เท้าให้ฉัน แต่ยิ่งซ่อมก็ยิ่งพัง เพราะไม้เท้าคงทันรับสภาพไม่ไหว เลยขอตายในหน้าที่
“คุณเป็นนักเดินทางตัวจริง! กล้าหาญมาก” เพื่อนใหม่คนหนึ่งพูด เราคุยกันหลายเรื่อง ฉันถามถึงทริปของพวกเขา แลกเปลี่ยนสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ก่อนจะแยกย้ายจากกัน
เก่งมากครับ สุดยอดเลย นับถือๆ
ถูกใจถูกใจ