ฉันนั่งมองอุปกรณ์เดินเขาบนเตียงที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ไม้เท้าช่วยเดินสีแดงคู่ใหม่เอี่ยม วางทับเสื้อฟลีทกันลมสีเหลืองขมิ้นสุดเท่ห์ กางเกงกันน้ำแบบแห้งไวสำหรับเดินป่า หน้ากากกันก๊าซพิษราคาถูกที่เดินหาเอาตามห้าง รองเท้าเดินเขายี่ห้อดังคู่ใหม่ ….. มองไปก็ทำให้หัวใจพองโต ราวกับว่ากำลังพาเพื่อนคู่ใจ เพื่อนที่พึ่งพาได้ ไปร่วมชะตากรรมที่ไม่มีวันเดาออก…ที่รออยู่เบื้องหน้า
ฉันกำลังจะไปตามล่าภูเขาไฟที่อินโดฯ
ไปคนเดียว และไม่ได้ไปกับทัวร์ด้วย…
หลังจากใช้เวลาเตรียมตัว หาข้อมูล และวางแผนการเดินทางเพียงไม่ถึง 2 เดือน ฉันก็จัดกระเป๋าแบคแพ็คใบเบาหวิว น้ำหนักแค่ 4 กก. เพราะไม่ได้เอาสัมภาระที่คิดว่าจะเป็น “ภาระ” ไปเลยสักชิ้นเดียว
ไม่มีเครื่องสำอาง…มีแต่ครีมกันแดดและยาสามัญประจำบ้าน
ไม่มีไดร์เป่าผม…ผมเลยฟูฟ่องเป็นหมาพุดเดิ้ล อยู่ตลอดระยะเวลา 5-6 วัน
ไม่มีสบู่…มีแต่ทิชชูเปียก เพราะกะว่า จะไม่อาบน้ำ (จริง ๆ คือหาเรื่องไม่อาบน้ำ)
แต่สิ่งที่มีแน่นอนสำหรับทริปนี้ คือ “ประกันการเดินทาง” ที่ทำไว้ระดับ Explorer เลย เพราะแอบคิดว่าหากการเดินทางไม่ได้เป็นไปตามแผน อย่างน้อยก็ไม่ต้องลำบากเรื่องค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศจนเกินควร
ตื่นเต้นนะ
…แต่ก็จะไปอยู่ดี 🙂
นอนนับดาว กลางสนามบินสิงคโปร์
เนื่องจากไม่มี direct flight ตรงกับวันที่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เที่ยวบินขาไป ฉันจึงต้องไป transit เปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนานาชาติ Changi สิงคโปร์ แต่ด้วยความที่ต้องรอเปลี่ยนเครื่องเป็นเวลากว่าสิบชั่วโมง เลยมองหาที่นอนแถวๆ public lounge ซึ่งปรากฏว่าได้แค่ ‘เอนหลัง 30 นาที’ เพราะนอนไม่หลับ ฉันเลยเดินสำรวจ Terminal 1 ทั้งคืน จนเรียกได้ว่า รู้ทุกซอกทุกมุมของ Terminal 1 แล้ว
สนามบินนี้เป็นสวรรค์ของชาว transit อย่างแท้จริง ทั้ง free internet/ wi-fi, โรงหนัง 24 ชม., cactus garden, Lily garden, สปา, สระว่ายน้ำ, โรงแรม, ยิม, คาเฟ่ 24 ชม., duty free 24 ชม. ฯลฯ หากไม่นับว่าง่วงนอน คงรู้สึกสนุกมากกว่านี้
หลังจากรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง จนเลยจุดที่เป็นความง่วงไปแล้วนั้น ก็เช้าพอดี ฉันเดินหามุมนั่งทานอาหาร มองดูแสงอาทิตย์ที่ทอแสงเรื่อๆ ทีละนิดๆ สั่งกาแฟ Kopi แก้วเล็กออกมานั่งทานที่สวนดอกไม้ของสนามบิน ยิ้มรับเช้าวันใหม่ที่จะพาฉันไปสู่อ้อมกอดของขุนเขาในอินโดนีเซียเสียที
…เมื่อยหลังจะแย่อยู่แล้ว -_-

หาที่พักเอาดาบหน้า
ฉันเดินออกจากสนามบินสุราบายา ขึ้นรถ Shuttle Bus ของสนามบินที่พาฉันไปส่งยัง Bus Depot หรือท่ารถบัส คล้ายๆ หมอชิตหรือสายใต้บ้านเรา แต่บรรยากาศดูวุ่นวายกว่ามาก
ตอนขึ้นรถ Shuttle Bus มีแอบกรี๊ดนิดหน่อย เพราะเจอหนุ่มฝรั่งมาดเซอ ผมดำ หน้าตาดีคล้ายอนันดา (ยิ้มอ่อน) นั่งอยู่ข้างหลัง ฉันหูแว่วว่า ชายหนุ่มคนนั้นมีจุดหมายปลายทางที่ Bandung แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งของอินโดนีเซียที่น่าไปมาก ส่วนฉันมีจุดหมายปลายทางที่ Probolingo
พอถึงท่ารถบัส ฉันถามทางคนแถวนั้น คนสองคน จนได้เดินไปยังรถบัสที่จะพาไปสู่ Probolingo
จุดนั้น ต้องเดินฝ่าสมรภูมิของกลุ่มคนที่แออัดเบียดเสียด ตะโกนแย่งผู้โดยสารต่างชาติขึ้นรถ ทุกคนต่างตะเบ็งเสียงถามว่าจะไปไหนๆ ราวกับกำลังโฆษณาขายของดังเซ็งแซ่ไปทั่ว ฉันหลบตาพวกเขา แล้วเดินตรงดิ่งไปยังรถทันที
บนรถส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น มีคนต่างชาติปะปนอยู่ไม่กี่คน นั่งรถบัสอยู่นานแค่ไหนจำไม่ได้ รถก็มาจอดให้ฉันลงที่ Probolingo ตรงหน้าเอเจนซี่ทัวร์แห่งหนึ่ง ฉันบอกพี่เอเจนซี่ว่า ฉันไม่จองทัวร์ แต่จะไปเทรคกิ้งด้วยตัวเอง เขาจึงจัดแจงให้นั่งรถมินิบัสร่วมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เพื่อขึ้นไปหาที่พักใกล้ทางเข้าอุทยาน ใกล้ภูเขาไฟที่ฉันข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา…
ใกล้ภูเขาไฟโบรโม่.

ระหว่างทาง ฉันชวนพี่คนขับคุย ได้ความว่า พี่เขามีโฮมสเตย์เล็กๆ อยู่ใกล้ปากทางเข้าอุทยาน ราคาไม่แพง คืนนึงแค่สี่ร้อยกว่าบาท (175,000 รูปี) ฉันเลยสนใจขอตามไปดูที่พักก่อน รถมินิบัสคันน้อยๆ พาเราขึ้นเขา ผ่านทางโค้งเป็นร้อยโค้งจนน่าเวียนหัว อากาศรอบๆ ดูชื้นๆ และเริ่มหนาว หมอกและสีเขียวขจีของผืนป่าทำให้อยากเปิดหน้าต่างรถออกไปสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด แถมยังอยากมีอีกปอดเพิ่ม เพื่อเก็บออกซิเจนส่วนนึงกลับบ้านด้วย
นักท่องเที่ยวที่ตามมาด้วย 4 คนเป็นคู่รักชาวฝรั่ง 2 คนและนักท่องเที่ยวชาวสุราบายา 2 คน ทุกคนถามฉันว่า ฉันจะพักที่นี่จริงๆ เหรอ คงเพราะเขาเห็นเกสเฮ้าส์ที่ผ่านมาสภาพน่าอยู่กว่ามาก ฉันตอบเสียงใสว่าฉันจะพักที่นี่แหละ แล้วก็จ่ายเงินเข้าห้องพักอย่างรวดเร็ว ด้วยความเหนื่อยล้า อีกอย่างที่พักนี้ก็อยู่ใกล้ปากทางเข้าอุทยานแบบเดินถึง เป็นทำเลที่เหมาะที่จะตื่นตีสาม ออกเดินขึ้นไปโบรโม่
ฉันเอาสมุดโน้ต ให้พี่คนขับมินิบัสช่วยวาดแผนที่ที่จะเดินขึ้นไปทางเข้าอุทยานให้ และแชร์แผนที่นี้ให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
พอโพล้เพล้ อากาศหนาวจนมือชา ยิ่งทำให้ฉันแน่วแน่ที่จะไม่อาบน้ำในคืนนี้! ฉันใส่เสื้อฟลีท ท้องเริ่มเรียกร้องหาอาหาร เลยออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านและหาอะไรกินกันตาย เพราะอาหารบนนี้ หน้าตาธรรมดา และอาจดูจืดชืด แต่นาทีนั้น กินอะไรก็อร่อยไปหมดแหละ
ตีสี่ ตะกายออกไปหาโบรโม่
ฉันตื่นนอนตีสามครึ่ง แปรงฟัน และใช้ทิชชู่เปียกเช็ดหน้าเช็ดตา ฉันจัดแจงอุปกรณ์ใส่เป้ กางไม้เท้าเดินเขาเตรียมพร้อมเดินทาง พอเดินมาถึงหน้าประตูโฮมสเตย์ ปรากฏว่า ประตูล้อค!
เอาแล้วไง ตอนหัวค่ำฉันบอกคนเฝ้าที่พักแล้วว่า ฉันต้องออกไปประมาณตี 4 ขอให้เปิดประตูไว้ให้หน่อย พี่เขาก็บอกว่า ที่นี่ “ไม่เคยปิด” อยู่แล้ว แล้วทำไมพี่ช่างทำกับหนูได้!! เอาไงดีวะทีนี้?!!
ฉันก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าประตู สักพักพอเห็นว่าเปิดประตูไม่ได้ และไม่มีกุญแจแขวนอยู่แถวนั้นอย่างแน่แท้ ฉันจึงเบนสายตามามองหน้าต่าง
เอ..หรือว่าเราจะ
ไม่นะ..ไม่
เอ…หรือว่าเราจะ
เสียงในหัวเถียงกันอยู่ประมาณสองวิ ฉันรู้สึกว่า โบรโม่เรียกหาแล้ว เลยตัดสินใจเปิดกลอนหน้าต่าง โยนพวกเป้กับไม้เดินเขาให้ล่วงหน้าไปก่อน แล้วปีนตามไปในทันใด
นี่เพิ่งจะเริ่ม ยังทุลักทุเลขนาดนี้ เส้นทางต่อไปจะเป็นยังไงนะ
การเดินทางและการปกป้องจากอาลี
อาลี เป็นชายผิวเข้ม คนท้องถิ่นที่ใช้มอเตอร์ไซค์คอยรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปยังโบรโม่ ฉันเจออาลีใกล้ปากทางเข้าอุทยาน วันนั้นเขาใส่เสื้อมีฮู้ดดี้สีเขียวแปร้ด เราสื่อสารกันแบบเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง อาลีถามฉันว่าอยากให้เขาพาขึ้นไปจุดชมวิวไหม ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่มากับทัวร์จะนั่งรถ Jeep ขึ้นไป
ด้วยความที่ฉันเดินทางคนเดียว การแว้นมอเตอร์ไซค์ไปกับอาลีจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ในความมืดและแสงจากรถจิ๊บหลายสิบคัน อาลีพาฉันไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น (Bromo Sun Rise) เป็นจุดที่เราจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ทอแสงแรกยามเช้าให้เห็นยักษ์ใหญ่โบรโม่ ทางขึ้นจุดชมวิวสูงชันมาก จนฉันกลัวร่วงตกจากมอเตอร์ไซค์เสียจริงๆ
ตี 5.30 น. พระอาทิตย์เริ่มทอแสง ให้เห็นโบรโม่ชัดขึ้น

หลบเร้นอยู่ในม่านหมอก
ตี 5.30 น. พอพระอาทิตย์ขึ้นได้ไม่นาน เมฆหมอกก็มาจากไหนไม่รู้ บังโบรโม่จนมิด
โบรโม่คงเป็นภูเขาไฟที่ขี้อายที่สุดในโลกเลยล่ะ เพราะเอาแต่หลบอยู่ในม่านหมอก ไม่ให้ใครเห็น รู้สึกตะเตือนไต T^T
หล่อระยะประชิด
ตอนแรกฉันเข้าใจว่า หมดกัน! หมอกบังโบรโม่หมดแล้ว จบเลยทริปนี้
แต่พออาลีบอกว่า เดี๋ยวเราไปอีกที่นึงนะ ไปดูโบรโม่ใกล้ๆ กัน
เอ้อ จริงด้วยสินะ ตอนหาข้อมูลมามันยังมี Sea of Sand ด้วยนี่หว่า ลืมไป
อาลีพาฉันแว้นลงเขาต่อจากจุด View Point ไปดูโบรโม่ระยะประชิด แบบที่ไม่ต้องห่วงเรื่องหมอกอีกต่อไป
เสียงเครื่องยนต์ของรถ Jeep ดังเป็นระลอก จากขบวนรถที่วิ่งตัดพื้นที่อันกว้างใหญ่ของผืนทราย รถทุกคันมีจุดหมายเดียวกันที่โบรโม่ รถ Jeep มาส่งนักท่องเที่ยวได้เพียงจุดหนึ่งเท่านั้น หากจะข้าม Sea of Sand ไปต้องใช้ม้าข้าม ไม่ก็เดิน
การที่ฉันมากับอาลีถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะอาลีพาฉันออกนอกเส้นทาง เพื่อมาจอดรถเก็บภาพในมุมมองที่คนนั่งรถ Jeep คงไม่มีโอกาสได้เห็น เป็นมุมที่เห็นภาพผืนทรายในมุมกว้าง เห็นภูเขาที่โอบล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ มีเสียงลมหวิวๆ พัดผ่าน เหมือนภูเขากำลังส่งเสียงเรียกร้องให้คนหันมาสนใจ
ตอนตีสี่ที่ฉันแว้นมอเตอร์ไซค์มากับอาลี ในความมืด อาลีขับไม่ห่างจากขบวนรถ Jeep มากนัก เพื่อให้แสงไฟจากรถ Jeep พอจะช่วยนำทางเราได้ ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากดวงดาวที่ปูอยู่เต็มฟ้า
แต่พอถึงจุดหนึ่ง ฉันเห็นเงาดำขนาดใหญ่มหึมาอยู่ทางด้านซ้าย เงาใหญ่น่าเกรงขามนั้นทำให้ฉันขนลุก…และศรัทธา
ฉันรู้ว่า นี่คือภูเขาไฟโบรโม่ในความมืด ที่เหมือนยักษ์ใหญ่กำลังหลับใหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มของดวงดาว
ฉันไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคนสมัยก่อนถึงเชื่อว่ามีทวยเทพอาศัยอยู่บนหุบเขา…
(ภาพด้านบนนี้ คือ ภูเขาไฟโบรโม่ระยะใกล้ในเวลากลางวัน มองจาก Sea of Sand)
เมื่อเดินขึ้นเนินสูง ฉันสังเกตว่าคนส่วนใหญ่จะขี่ม้ากัน แต่ฉันก็เลือกที่จะเดินขึ้นไป พอเดินไปได้นิดหน่อยก็รู้ว่าทำไมคนถึงขี่ม้า เพราะบนทรายที่ย่ำ เต็มไปด้วยมูลม้า กลิ่นแรงจนต้องเดินไปปิดจมูกไป แถมทางเดินก็สูงชัน จะหอบเอาออกซิเจนเข้าปอดก็ลำบาก เพราะจะได้กลิ่นขี้ม้าไปเต็มๆ
ฉันเลยเลิกดื้อ แล้วเรียกม้าขึ้นเนินแทน -_-
ตอนขึ้นหลังม้า พอม้าเริ่มเดินรู้สึกหวิวๆ เพราะกลัวความสูง
ทางก็ชัน บนหลังม้าก็สูงเข้าไปอี้กกก!! แถมน้องม้าสุดที่รักก็ดูขวัญอ่อนขี้ตกใจ แค่ได้ยินเสียงม้าอีกตัวเดินสะดุด นางก็ตกใจแล้ว …ช่างน่ารัก
สาบานว่าต่อไป ฉันคงไม่กล้าขี่ม้าขึ้นที่สูงอีกแล้ว
……………………………………………………..
อ่านการวางแผนการเดินทาง การเตรียมตัว และค่าใช้จ่าย ทริปลุย Bromo-Madakaripura-Kawah Ijen 4 คืน 5 วัน ได้ที่ลิงค์ วางแผนการเดินทาง ทริปลุยภูเขาไฟโบรโม-คาวาห์อีเจี้ยนที่อินโด นะคะ