หลายคนบอกว่านักผจญภัยมาจากความกล้า
ไม่หรอก…
ฉันมองว่าความกล้ามันก็ “มีที่มาที่ไป” โดยตัวของมันเอง…
สำหรับฉัน มันมีแรงผลักมาจากความเศร้า ที่ฉันเปลี่ยนมาเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำอะไรกับชีวิตสักอย่าง…
ย้อนหลังไปเมื่อ 7 ปีก่อน ฉันออกเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรก ตอนได้ทุนวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพื่อไปเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่อังกฤษ ตอนนั้นก็ออกเงินเองด้วยครึ่งหนึ่ง นึกภาพดูว่าอายุยี่สิบต้นๆ แพลนการเดินทางเองในยุคที่เฟสบุ๊คยังไม่ดัง ..เป็นยุคของ Black Berry.. เป็นยุคที่ Google Map ยังช่วยอะไรได้ไม่มาก
เป็นยุคที่ยังต้องเดินกางแผนที่กระกาษเหี่ยว ๆ ในเมืองผู้ดีเป็นเวลา 2 สัปดาห์..คนเดียว..มีบ้างบางวันที่ไปเจออาจารย์และพี่ที่รู้จักที่มหาลัยที่นั่น ในเมืองนอริช แต่หลักๆ แล้วทริปนี้ คือทริปแรกที่ไปคนเดียวไกลๆ เป็นครั้งแรก และรู้สึกว่า
เฮ้ย.. เราก็เดินทางเองได้นี่หว่า
จากนั้นพอเรียนจบมา ทำงาน เก็บเงิน ก็ออกเดินทางระยะใกล้ ๆ คนเดียว เช่น ไปเชียงคาน ไปเกาะสีชัง จังหวะที่ได้โดดผาที่เกาะสีชัง มองลงไปจากหน้าผาแล้วเห็นผาสูง ๆ น้ำทะเลสีเข้มซัดกระทบหิน ใจมันหวิว ๆ สักพักเดินถอยหลังออกมา แล้ววิ่งลงไปเลย
ฉันได้ยินเสียงกรี๊ดจากปากตัวเอง ความรู้สึกต่อจากนั้นที่จำได้ คือสภาวะไร้ที่ยึดเหนี่ยวใด ๆ
ร่างจมสู่ทะเลเบื้องล่าง น้ำเค็มจัดเข้าจมูก.. เสื้อชูชีพทำหน้าที่ของมัน.. ตัวเราลอยขึ้นมาแล้วว่ายน้ำเข้าหาบันไดลิง.
…………………….
ตอนนั้นก็ดีนะ แต่ก็ยังไปเที่ยวเหมือนนักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไปอยู่
แต่จุดเปลี่ยนมันก็เกิดขึ้น ตอนช่วงปี 2016 สองปีที่ผ่านมา
ตอนนั้น พ่อเลี้ยงชาวเบลเยี่ยมของฉันเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยโรคประจำตัว ปล่อยให้แม่ต้องเคว้งคว้างอยู่พักใหญ่
จริงๆ เขาป่วยมาหลายปีแล้ว เป็นโรคเกี่ยวกับตับอ่อน เป็นโรคหายาก รักษาก็ยากเช่นกัน
มันแปลกดีนะ ที่พอคนๆ นึงตายไป แล้วเราเพิ่งมีเวลาได้มาค้นอีเมลเก่าๆ ที่เคยคุยกับเขา เพราะฉันอยู่ไกลจากครอบครัว ออกมาเรียนและมาทำงานอยู่ในเมืองเพียงลำพัง วิธีสื่อสารในสมัยนั้นก็หนีไม่พ้นโทรหา ส่งข้อความ ไม่ก็อีเมล
ลองนึกภาพเวลาเรามานั่งอ่านอีเมลที่เคยคุยกับคนที่ตายแล้วดูสิ
มันหดหู่นะ
มันรู้สึกนะว่า ทำไมเมื่อก่อนเราไม่เห็นข้อความเหล่านั้น..สำคัญขนาดนี้
ทำไมเมื่อก่อน เราไม่บอกให้เขารักษาสุขภาพมากกว่านี้..
ในหัวของฉันมีแต่คำว่า ทำไม ทำไม และทำไม..
สายตากวาดดูบทความที่พ่อเลี้ยงเขียนหาฉัน บางอีเมลก็บ่นถึงแม่ บอกว่าแม่คิดถึงฉัน บอกว่าให้โทรไปหาแม่บ้าง
ส่วนใหญ่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ การงานของฉันเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่าเปลี่ยนงานแล้วดีขึ้นบ้างไหม มีแฟนหรือยัง ฯลฯ คำถามที่เรามักจะได้เจออยู่เป็นประจำเมื่อคุยกับผู้ใหญ่
พอกวาดตาอ่านทั้งหมด ในรวดเดียว ในคืนเดียว ฉันพบสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง
ในบรรดาข้อความเหล่านั้น เขาเขียนเหมือนเดิมซ้ำ ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ อยู่ประโยคหนึ่ง
“Go out and Play…” (ออกไปเที่ยวเล่นซะบ้างนะ)
เพราะเขาทราบดีว่า ตอนเรียนฉันเรียนหนักมาก..พอทำงานก็ยังทุ่มเท ทำงานหนักมากเช่นกัน
“Go out and Play…”
วนเวียนอยู่ในหัว เคยเจอจังหวะที่ชีวิตมันคิดอะไรได้ด้วยตัวมันเอง เหมือนมีอะไรมาส่องแสงสว่างไหม
จังหวะแบบนั้นล่ะ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันต้องลุกขึ้นมาใช้ชีวิตของตัวเองสักที

ประกอบกับงานที่ทำอยู่ตอนนั้นค่อนข้างมีแรงกดดันมหาศาล
ยิ่งนับวัน แรงกดดันนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณ จนเหมือนจะลืมไปแล้วว่า จริง ๆ เราก็แค่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
ฉันถอยออกมามองภาพรวมชีวิตของตัวเอง แล้วรู้สึกว่า “นี่เราทำเชี่ยอะไรอยู่เนี่ย” คือตอนนั้นชีวิตแทบไม่ได้ใช้เลย ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะไปทำงาน หัวตกถึงหมอนแล้วก็นอนหลับ บางคืนทำยันรุ่ง แทบไม่ได้นอนก็มี บ้านช่องที่ต่างจังหวัดแทบไม่ได้กลับ แมวที่รักแสนรักแทบไม่ได้ไปเยี่ยม โทรศัพท์หาทางบ้านยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าทำงานแลกวิญญาณกันไปเลย
“นี่เราทำเชี่ยอะไรอยู่เนี่ย”
ฉันไม่ได้โทษการงานหรอกนะ ฉันมองว่า ฉันโทษที่ตัวเองใช้ชีวิตไม่สมดุล
ต้องรอให้มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างมาเคาะกะโหลกเตือนสติก่อน ถึงจะนึกขึ้นได้ ในขณะที่คนอื่นเขาใช้ชีวิตกันไปหมดแล้ว
…………………………….
จากนั้นมา ฉันเลยออกเดินทางแบบนักเดินทางจริง ๆ ไม่ใช่แค่ไปถ่ายรูปตามแลนด์มาร์ค หรือไปแบบนักท่องเที่ยวเหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกทริปมีเป้าหมายว่าต้องเข้าถึงคนท้องถิ่นและธรรมชาติ รวมทั้งต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าร่างกายของเรามีพลังแค่ไหน สามารถทำอะไรได้บ้าง ลิมิตของมันเป็นอย่างไร และต้องก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร
ฉันเริ่มไว้ผมบ๊อบสั้น เริ่มเดินหาซื้อเป้แบคแพคและอุปกรณ์เดินป่าและไต่เขา ทริปแรกที่ออกประเดิมคือ ทริปไต่ภูเขาไฟคาวาห์อีเจี้ยนที่อินโดนีเซีย ไปเอง ไปคนเดียว และไม่ได้จองที่พักหรือรถราอะไรไปเลย ไปหาเอาดาบหน้า ไปโบกรถคนท้องถิ่นให้เขาขี่มอเตอร์ไซค์เป็นร้อยกิโลเพื่อไปส่งข้ามเมือง ไปเดินเข้าป่า ขึ้นเขาทางชัน ๆ ตอนเที่ยงคืน บางครั้งทางชันเกือบทำมุม 45 องศาอยู่แล้ว แถมเดินผ่านเหวตอนดึก ๆ เพื่อไปดูเปลวไฟสีเงินจากลาวาบนปากปล่องภูเขาไฟตอนตีสาม และเพื่อให้ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากอีกฝั่งของทะเลสาปน้ำกรดตอนเช้าตรู่
เป็นทริปที่มันส์สะใจ และเหมือนได้ปลดแอกอะไรบางอย่างในชีวิตมาก
“Go out and Play…”
จนตอนหลัง การไปแบบลุย ๆ โดยที่ไม่ได้จองอะไรไปเลยล่วงหน้า กลายเป็นสไตล์การเดินทางของเคทอีกเหมือนกัน เวลามีเพื่อนถามว่าไปพักแถวไหน มักจะตอบไม่ได้ เพราะยังไม่รู้เลยว่าจะมีที่ซุกหัวนอนหรือเปล่า และไม่รู้เลยว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังไง รู้แต่ว่ามันสนุกดี เหมือนเรามีเกมจิกซอว์อยู่ในมือ แล้วเราเลือกที่จะล้มกระดาน ไม่ให้บางตัวมันเฉลยออกมา เพราะกลัวว่า “พอรู้แล้วจะไม่สนุก”
มันเหมือนเรากำลังเซ็ตภารกิจให้ตัวเองไปทำหน้างานเวลาออกทริป
“Go out and Play…”
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เพียง 2 ปี แม้ฉันจะออกเดินทางไปต่างประเทศยังไม่มาก เพียง 13-15 ประเทศ แต่บางประเทศก็กลายเป็นสถานที่โปรด ที่ชอบไปอยู่ซ้ำ ๆ จนเพื่อนแอบแซวว่า “มีผัวอยู่ที่นั่นเหรอ!?”
ทั้งนั่งรถแบบโรลเลอร์โคสเตอร์ซิ่งบนทะเลทรายโกบี
ใส่รองเท้าตะปูเดินไต่เขาอย่างทุลักทุเลบนภูเขาหิมะลื่น ๆ ที่หิมะเพิ่งละลายได้ 2 วัน..
เผชิญหน้ากับความเป็นความตายตอนโดนโรค Altitude Sickness เล่นงานบนภูเขา..
กระโดดผาน้ำตกในฟิลิปปินส์..
เจอครอบครัวชาวชางปาในอินเดียที่ฉันนับถือเป็นบ้านหลังที่สอง ..
ดำน้ำแบบตัวเปล่าเพื่อดำเรือจมในอ่าวไทย ..
เดินบนสะพานแขวนที่สูงเสียวไส้ที่ลาวใต้โดยไร้สลิง..
นอนกางเต๊นท์กลางพื้นน้ำแข็งบนภูเขาสูง หนาวจัดจนชีวิตตกอยู่ภายใต้ความเมตตาของเทือกเขานันทาเทวี..
ฯลฯ

ภาพที่ฉันฟรีไดฟ์ ดำเรือจมที่กลางทะเลเกาะช้าง อ่าวไทย / ถ่ายโดยน้องยาร์ด Paliwat เพจแบกเมียเที่ยว ในทีมไดฟ์ด้วยกัน
บางความทรงจำก็เล่าได้ไม่มีวันหมด โดยเฉพาะน้ำใจของผู้คนที่พบเจอรายทาง
แล้ววันนี้…คุณได้ “Go out and Play…” หรือยัง?
รัก
/เคท
ฝากเพื่อนๆ ติดตามเรื่องเล่าจากการเดินทาง+ทริปแบบมันส์ๆ ได้ที่ 🥰🐯
Facebook: https://web.facebook.com/katewandermore
IG : https://www.instagram.com/kate_wandermore/
Twitter: https://twitter.com/kate_wandermore