เราออกจากแคมป์ 1 แต่เช้า เพื่อเดินไปแคมป์ 2 เป็นเช้าที่ฉันรู้สึกกระฉับกระเฉงมาก เหมือนได้พลังงานกลับมารอบใหม่หลังจากได้นอนพักไปเมื่อคืน ซึ่งก็ตรงกับผลตรวจออกซิเจนในตอนเช้า ที่ระดับออกซิเจนในเลือดของฉันเพิ่มขึ้นจากเมื่อคืน จาก 87 มาอยู่ที่ 91
หากจะบอกว่าเจ้า Oxymeter เครื่องเล็กขนาดพกพาที่วิกัสหยิบมาหนีบนิ้วนางของพวกเราทุกเช้า-ค่ำนี้ เหมือนเป็นตัวชี้ชะตากรรมของพวกเราก็คงไม่ผิด เราลุ้นตัวโก่งกันทุกวัน
เพราะหากมันโชว์ค่าต่ำกว่า 75 พวกเรารู้ตัวดีว่าจะถูกส่งตัวกลับเบสแคมป์ทันที
“แคมป์ 2 จะมีแต่หิมะ ไม่เหมือนที่นี่ ที่นี่ยังพอเห็นพื้นดินอยู่บ้าง” วิกัส หัวหน้าแคมป์เตือนทุกคน เราออกเดินผ่านป่าที่พื้นโดนพรมไปด้วยหิมะที่ตกหนักเมื่อสองสามวันก่อน เราถูกเตือนไม่ให้เหยียบหิมะที่มีรอยคนเดิน การเดินท่ามกลางพื้นหิมะโดยที่ไม่มีรองเท้าตะปูหนักหนาสำหรับเราเหมือนกัน วิกัสสอนว่าอย่างแรกให้มองหาพื้นดิน หากไม่มี ให้มองหาก้อนหินแห้งๆ หากไม่มี ให้เหยียบลงไปในหิมะขาวปุยๆ ซึ่งเป็นหิมะใหม่ที่ยังไม่มีใครเหยียบ
แต่ห้ามเหยียบบนก้อนหินที่ถูกฉาบด้วยน้ำแข็งบางๆ และพื้นหิมะที่เริ่มแข็งแล้ว เพราะจะลื่นหัวคมำไปได้ง่ายๆ
เราเดินร่วม 8 ชั่วโมงก็มาถึงแคมป์ 2
จริงอย่างที่เขาว่า…
ที่นี่มีแต่หิมะ และหนาวเป็นบ้า…หนาวยิ่งกว่าแคมป์แรกซะอีก
ฉันเตรียมใจไว้แล้วว่า คืนนี้คงนอนไม่เป็นสุขแน่ๆ…
เช้าวันเตรียมตัวขึ้นซัมมิท หัวหน้าแคมป์เรียกให้เรารวมตัวกันเพื่อใส่รองเท้าตะปู เรายืนกันเป็นวงกลมเหมือนทุกครั้งเพื่อรอคำสั่งจากวิกัส
“เราจะเดินเป็นแถว เหมือนมีเชือกล่องหน ยึดโยงเรา 25 คนไว้ด้วยกัน ห้ามแตกแถว.. ห้ามแซง.. หากคนข้างหน้าคุณเดินเร็วไป คุณเรียกให้เขาหยุดได้เลย เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง..”
“วันนี้จะมีแต่เดินขึ้น เดินขึ้น และเดินขึ้นไปเท่านั้น คุณอาจเหนื่อยจนหายใจไม่ไหว แต่นั่นล่ะ…คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น” วิกัสบอกให้เราฟังถึงสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า “เช้านี้ใครสำรวจตัวเองแล้วได้คะแนน AMS เกิน 5 คะแนนบ้าง?”
มีสมาชิกของเราคนหนึ่งชูมือขึ้น เขายืนอยู่ใกล้ๆ ฉันนี่เอง
“วันนี้เชิญพักในเต้นท์ได้เลย” วิกัสทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ชัดเจน ทิ้งให้หนุ่มคนนั้น และพวกเราที่เหลือเหวอไปตามๆ กัน
เรารู้ว่าวิกัสเห็นแก่ความปลอดภัยของนักไต่เขาคนนั้น จึงออกคำสั่งให้เขาห้ามขึ้นซัมมิท
ทุกคนเงียบ มองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน
ลึกๆ เราต่างก็ไม่อยากให้เพื่อนคนไหนโดนดับฝันไปในวันสำคัญแบบนี้ ทุกคนเหนื่อยกันมาสามวันกว่าจะเดินมาถึงแคมป์ 2 ไม่นับว่าต้องเตรียมร่างกายสำหรับทริปนี้กันมายาวนานเท่าไร
ฉันมองเพื่อนคนนั้นอย่างเห็นใจ
แต่พอฉันเห็นแววตาของเขา จึงรู้ว่าเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ไปง่ายๆ ฉันเหลือบมองตอนเขาเข้าไปคุยกับวิกัสแล้วลุ้นในใจให้วิกัสอนุญาต พลางก้มลงมองรองเท้าตะปูของตัวเอง
ฉันเองก็แอบฝากความหวังเล็กๆ ไว้ที่มันเหมือนกัน…
เราเดินขึ้นตลอด (Ascending) ไม่มีทางราบ… ไม่มีทางลง (Downhill)… วิกัสให้ทุกคนพกแต่เป้ Daypack ขนาดเล็กขึ้นซัมมิท แล้วทิ้งเป้สัมภาระใบใหญ่ไว้ที่แคมป์ ส่วนฉันซึ่งเป้สัมภาระเล็กอยู่แล้ว ไม่มี Daypack ชิ้นจิ๋วชิ้นอื่นติดตัวมา เลยต้องแบกเป้ใบเดิมขึ้นยอดเขาไปด้วย เมื่อคืนฉันตุนน้ำไว้เต็มถุงน้ำ แต่ตื่นเช้ามาด้วยความหนาวจัด สายถุงน้ำดันกลายเป็นน้ำแข็ง เลยต้องอาศัยรอไออุ่นจากพระอาทิตย์ระหว่างเดิน
ทุกคนพยายามเดินเป็นแถว เกาะกลุ่มกันไว้ และมีการตะโกนเรียกกันอยู่เนืองๆ เมื่อเห็นว่าคนข้างหน้าเดินเร็วเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น “ราจูจี” หัวหน้าไกด์ของเรา แม้อายุมากแล้ว แต่ราจูจีก็เดินขึ้นเขาได้อย่างคล่องแคล่วจนพวกเราวัยรุ่นตามไม่ทัน
เราไม่อยากให้มีช่องว่างระหว่างขบวนนัก เพราะเส้นทางวันนี้อันตราย ทั้งลื่น สูง ชัน บางจุดเดินยาก เช่นต้องข้ามผ่านน้ำตกเล็กๆ บนภูเขาที่กลายเป็นน้ำแข็งแล้ว และข้างล่างดันเป็นเหว ต้องให้ไกด์ใช้ขวานแซะน้ำแข็งช่วยประคองสมาชิกทีมให้ข้ามไปทีละคนๆ
วันนี้พวกเราจึงสามัคคีกันมากกว่าเดิม และพยายามช่วยรอ เมื่อเห็นใครคนใดคนหนึ่งหยุดพักหายใจ และเฝ้าสังเกตอาการของกันและกัน
บนความสูงระดับนี้…ที่มีแต่เรากับภูเขา ชีวิตเพื่อนในทีมสำคัญมาก…
บนความสูงระดับนี้…เวลาแต่ละชั่วโมงที่ผ่านไปดูยาวนาน ความกดอากาศบางเบาลงทุกที จริงๆ ออกซิเจนไม่ได้น้อยลง วิกัสอธิบายว่า มวลออกซิเจนกระจัดกระจายออกไป ไม่อัดแน่นเหมือนบนที่ราบ ทำให้เรามีอาการเหมือนต้องหายใจเยอะขึ้น เพื่อให้ได้ออกซิเจนในปริมาณเท่าเดิม
“ตรงนี้อีกนานไหมกว่าจะถึงซัมมิท?” ฉันเอ่ยปากถามสมาชิกคนหนึ่งในทีมบนจุดพัก
“ท่าจะนานเลย” เขาพูด “ผมถามราจูจีมาแล้ว เขาบอกต้องเดินไปอีกสักสองชั่วโมง”
“โหววว” ฉันอุทาน ก่อนที่จะหันไปบอกทุกคนว่า “เราติ๊ต่างว่าตรงนี้เป็นซัมมิทดีมั้ย” ทุกคนหัวเราะร่วน
“ทำไมเหรอเคท คุณเหนื่อยแล้วเหรอ” หนึ่งในนั้นตะโกนแซว
“ไม่ได้เหนื่อยธรรมดา…เหนื่อยมากๆ” ฉันหัวเราะอย่างจำนน สองสามวันนี้ทุกคนมักจะปล่อยมุขฝืดๆ มาหยอกล้อกันเพื่อผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า และทำให้คนอื่นๆ ยิ้มได้
สุดท้าย…เราใช้เวลา 4 ชั่วโมงกว่าๆ จากแคมป์ 2 ก็เดินขึ้นมาถึงยอดซัมมิทอย่างปลอดภัย
ด้วยความเหนื่อย ทุกคนไม่พูด ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่ง บางคนก็นอนราบไปบนพื้น ฉันเดินหาที่นั่งเหมาะๆ หยิบเอาแอปเปิ้ลที่มีรอยช้ำในเป้มากัด พลางดูวิวภูเขารอบๆ เนินหิมะทอดยาวไกลสุดสายตา
ความเหนื่อยล้า ทำให้แอปเปิลลูกนั้นพิเศษมาก
ฉันมองไปรอบๆ หลายครั้ง บรรยากาศบนยอดเขามันเป็นอย่างงี้นี่เอง
ความรู้สึกปริ่มเปรมยามที่เราฝ่าฝันอะไรจนสำเร็จ มันเป็นอย่างงี้นี่เอง
ฉันมองรองเท้าตะปูคู่เดิม…
นึกขอบคุณการไต่เขาและการวิ่งเทรลที่ผ่านๆ มา ที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า
ในยามที่ยากลำบากที่สุดของมนุษย์ คนเราจะปลดล็อกพลังได้จากที่ไหน
…………………………………………………….